หลายคนสงสัยว่าทำไมที่ดินสีเขียวใกล้เขตมหาวิทยาลัยผืนนี้จึงถูกทิ้งร้าง มีหลายเรื่องเล่าที่ผู้เขียนได้ฟังผ่านหู อย่างเช่นว่าเจ้าของที่เขาติดหนี้ ธนาคารยึดไปบ้างล่ะ บ้างก็ว่าหนีไปอยู่เมืองนอกกันหมด ผู้เขียนฟังแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม เพราะใจรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่ถึงอย่างนั้นก็พูดไม่ได้ว่าตัวเองรู้จริงอะไรมากมายนัก ความทรงจำของผู้เขียนต่อสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างเลือนราง จำได้เพียงเมื่อครั้งยังเล็กมาก คุณพ่อเคยพามาเที่ยวบ้านไม้หลังหนึ่ง ในบริเวณบ้านมีบ่อบัวที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยเห็น ภาพดอกบัวสีชมพูชูก้านพ้นน้ำให้ความรู้สึกเบิกบานติดตาผู้เขียนเสมอ ยังเคยพยายามวาดภาพอยู่หลายครั้ง คิดอยากจะกลับมาเที่ยวเล่นอีก แต่ก็ไม่ได้โอกาสถามใครสักทีว่าสถานที่นี้ คือที่ไหน
จนในที่สุด…โอกาสก็มาถึง
ผู้ใหญ่ในครอบครัวเล่าให้ฟังว่า ที่ดินผืนนี้ “คุณมังกร จินดาศิลป์” คุณปู่ของผู้เขียน ได้มาครอบครองและจัดสรรจำหน่ายเป็นผืนแรกๆ โดยที่ตั้งใจเก็บผืนสำคัญผืนนี้ไว้ เพราะท่านรักและผูกพันมาก ถึงกับเคยสั่งเสียว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้รักษาที่ดินผืนนี้เอาไว้ ถ้าจำเป็นต้องปล่อยขาย ก็ขอให้ขายเป็นผืนสุดท้าย
และความที่คุณปู่เป็นคนรักต้นไม้มาก ที่ดินแปดไร่แห่งนี้จึงปล่อยให้มีต้นไม้เติบโตตามธรรมชาติ คล้ายกับว่ามีผืนป่าขนาดย่อมโอบล้อมอาณาเขต ต้นไม้ใหญ่น้อยชื่นชอุ่มหนาแน่น จนบางครั้งทำให้คนที่ผ่านไปมาไม่ทันเห็นว่าท่ามกลางสวนป่านั้น ยังมีสิ่งปลูกสร้างหลังเล็กซ่อนตัวอยู่อย่างสงบเรียบง่าย
- - บ้ า น คุ ณ ย า ย - -
บ้านคุณยายเป็นบ้านไม้หลังเล็ก มีลักษณะกึ่งสองชั้น สร้างด้วยไม้ อิฐ และปูน ที่ผู้เขียนใช้คำว่ากึ่งสองชั้นก็เพราะบ้านหลังนี้สร้างขึ้น ‘ใน’ เนินดินที่โอบล้อมผนังสามด้าน ทำให้ชั้นล่างดูเกือบจะเหมือนชั้นใต้ดิน (ที่อยู่ระดับพื้นดิน) มีลักษณะเป็นโถงโล่งๆ ที่มีเพดานต่ำ เมื่อก่อนส่วนล่างนี้ก็เคยเป็นเนินดินธรรมชาติ แต่ถูกเจาะเข้าไปเพื่อสร้างเตาเผาอิฐ ต่อมาเมื่อเลิกใช้เตาเผา ก็ได้สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา พอบ้านสร้างเสร็จสมบูรณ์ คุณปู่ก็พาคุณแม่ (คุณทวดของผู้เขียน) มาเที่ยวชม เมื่อคุณทวดเห็นก็ชอบใจมาก แล้วบอกว่าจะขออยู่ที่บ้านหลังนี้ คุณปู่ก็ตามใจท่าน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ บ้านหลังน้อยผ่านแดดลมฝนมาห้าสิบกว่าปีแล้ว (ถ้าจะให้ดี หาจำนวนปีที่แน่นอนมาใส่ จะดูทำการบ้านมากกว่า)
และเมื่อเรื่องราวของบ้านผ่านการเล่าขานโดย “ป้ามุติ” ซึ่งเป็นลูกสาวของคุณปู่ เราเลยติดปากเรียกบ้านหลังนี้ว่า “บ้านคุณยาย” นั่นเอง
- - บ่ อ บั ว - -
บ่อบัวนั้นเป็นส่วนที่พิเศษมากสำหรับผู้เขียน แต่เดิมเป็นเพียงหลุมจากการขุดดินขึ้นมาทำอิฐ ต่อมาปรับปรุงให้ขอบบ่อเป็นสี่เหลี่ยม และก่อปูนเพื่อความทนทานอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ส่วนดอกบัว แรกเริ่มเป็นบัวหลวงซึ่งเป็นพันธุ์พื้นเมืองแบบที่คนนิยมนำไปถวายพระ มีดอกตูมที่โต ดอกบานสวยสง่า ก้านสูงชูคอ ใบยกสูงบ้าง ต่ำบ้างไปตามธรรมชาติ
ภายหลังเมื่อเราได้ปรับปรุงสถานที่ก็จำกัดจำนวนดอกบัวหลวงให้น้อยลง ด้วยเหตุผลว่ายามที่บัวทิ้งก้านทิ้งใบไปตามธรรมชาติ จะเหลือเพียงซากฝักใบที่แห้งเหี่ยว ดูไม่ชื่นตา และได้นำบัวในสกุลบัวสายมาปลูก ซึ่งบัวสายนั้นมีใบอยู่ระดับผิวน้ำ ก้านใบกับก้านดอกอ่อนนิ่ม และเป็นบัวที่ชอบน้ำมากกว่าบัวหลวง สวยงามกันคนละแบบ
- - ห ล อ ง ข้ า ว เ ก่ า - -
หลองข้าวเก่าที่ทุกคนเห็นตอนนี้เหลือเพียงฐานอาคารเก่าก่ออิฐสี่ด้านบริเวณลานจอดรถ เดิมทีส่วนบนเป็นโรงเก็บข้าวเก่าทำด้วยไม้เนื้อดี สร้างสูงและทึบ เหมาะกับการเก็บรักษาข้าวในสมัยก่อน ต่อมาเมื่อไม่ได้มีการพักอาศัยแล้ว หลองข้าวเก่าก็กลายเป็นโกดังเก็บของชั้นดีแทน เก็บได้ทุกอย่าง เวลาต่อมาส่วนที่เป็นไม้เสื่อมสภาพผุพังไปมาก ทำให้หลองข้าวที่เคยสวยงามต้องรื้อส่วนบนออกเพื่อความปลอดภัย ไม้เก่านั้นนำไปดัดแปลงและใช้ประโยชน์อื่นๆ และเก็บส่วนล่างไว้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
- - โ ค ร ง ก า ร ส ว น ช้ า ง เผื อ ก - -
ด้วยความคิดที่ “คุณวิมุติ จินดาศิลป์” หรือป้ามุติของผู้เขียน ต้องการรักษาและปลุกผืนดินอันเป็นที่รักและเต็มไปด้วยความทรงจำของพวกเราให้กลับมามีชีวิต สวนช้างเผือกในวันนี้จึงสวยงามและใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ลบภาพที่ดินรกร้าง เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่คุณปู่มังกร เราทำการปรับปรุงเชิงอนุรักษ์ คือเน้นรักษาต้นไม้ดั้งเดิมไว้ และวางผังสร้างอาคารใหม่โดยหลบเลี่ยงไม้ยืนต้น สิ่งสำคัญคือการรักษากล่องความทรงจำอย่างบ้านคุณยาย บ่อบัว และส่วนที่เหลือของหลองข้าวให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน โดยมี “จุดสังเกต” เป็นอนุสาวรีย์ช้างเผือกเก้าเชือก สัญลักษณ์อันเป็นมงคลคู่บ้านคู่เมืองของเรา
และ...ช้างตัวล่างสุด ผู้ที่มาเที่ยวชมสามารถเดินลอดท้องได้ด้วยนะคะ...
เรื่องเล่าจากลูกสู่หลาน
เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแด่คุณมังกร จินดาศิลป์
บันทึกและเล่าต่อโดยปาณิศา จินดาศิลป์
พฤศจิกายน ๒๕๖๑